วช. จัดเสวนาเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย “สามวัย : เตรียม พร้อม เกษียณ”
ในงาน “วันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี”
.
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดเสวนา เรื่อง “สามวัย : เตรียม พร้อม เกษียณ” ในงาน “วันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี” โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้มอบหมายให้คุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล หัวหน้าภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ด้านการเตรียมรับสังคมสูงวัย กล่าวเปิดการเสวนาฯ ณ ห้องประชุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ วช.
.
ประเด็นด้านการเตรียมรับสังคมสูงวัย เป็นหนึ่งในประเด็นที่ วช. ให้ความสำคัญ โดยมีเป้าหมายส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัย ให้เกิดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการพัฒนาคนในทุกช่วงวัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถดำรงชีวิตในสังคมด้วยตนเองได้อย่างมีคุณค่า และสร้างกลไกที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรสามวัย สามอาชีพ และสามมุมมอง มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิด ถ่ายทอดมุมมอง ทัศนคติ และบอกเล่าเรื่องราวในแง่มุมต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยมี รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาคุณภาพหลักสูตร สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้แทน มุมมองวัยทำงาน คุณสุกัญญา ไชยภาษี บรรณาธิการข่าวอาเซียน TNN ช่อง 16 เป็นผู้แทน มุมมองวัยก่อนเกษียณ คุณอรุณี ศรีโต นายกสมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนเพื่อการพัฒนา (สชพ.) เป็นผู้แทน มุมมองวัยเกษียณ และ ผศ.ดร.ธีร์ โคตรถา รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะอุตสาหกรรมสิ่งทอ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนาดังกล่าว
.
จากการเสวนาการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัยสำหรับ “สามวัย” ได้เกิดแนวคิดและข้อแนะนำจากวิทยากรทุกท่าน ประกอบด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ 1) การออมและการลงทุน โดยประชากรที่อยู่ในวัยทำงานควรมีการเก็บออม และรัฐบาลควรมีนโยบายในการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการให้การลงทุนนั้นเกิดผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นกองทุนในการช่วยเหลือผู้สูงอายุ 2) การ Reskill และ Upskill ให้กับผู้สูงวัยในการเตรียมพร้อมสำหรับการประกอบอาชีพ เนื่องจาก มีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา 3) การสร้างสมดุลด้านสุขภาพ ความมั่นคงทางการเงิน และการมีส่วนร่วมในสังคมซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยด้วยการเตรียมตัวเกษียณอย่างมีสติ และอยู่อย่างพอเพียง และ 4) การปรับตัวเข้ากับผู้สูงวัยด้วยสังคมอุปถัมภ์ (Soft Power) ควรมีการตระหนักถึงการเรียนรู้สังคมสูงวัยด้วยการลดระยะห่างระหว่างวัยในการรักษาความเกื้อกูลกันในสังคมไทย สามารถเริ่มต้นจากสถาบันครอบครัวซึ่งมีความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน รวมทั้ง การมองเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุซึ่งจะสามารถเป็นกำลังในการขับเคลื่อนสังคมให้กับสังคมของคนรุ่นใหม่ได้ในอนาคตต่อไป ทั้งนี้ วิทยากรได้ฝากประเด็นที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อม และรับมือในการเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุในสังคมไทย ดังนี้
.
รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ ผู้แทน มุมมองวัยทำงาน กล่าวว่า “สังคมสูงวัย เป็นเรื่องของส่วนรวม ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของคนที่จะเริ่มเข้าสู่วัยผู้สูงอายุเท่านั้น ฉะนั้น การเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับสังคมสูงวัยเข้าไปในหลักสูตรการศึกษา เพื่อสร้างความตระหนักให้ทุกคนทราบและเข้าใจว่าสังคมสูงวัยคืออะไร จะต้องเตรียมตัวอย่างไร และเพื่อลดอคติระหว่างวัย โดยการใช้ Soft Power จากสื่อมวลชน ในการสร้างทัศนคติที่ดีต่อผู้สูงอายุ และเมื่อมีทัศนคติที่ดีแล้ว ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ และเอื้อให้สังคมไทยน่าอยู่ และสามารถดำเนินต่อไปได้”
.
คุณสุกัญญา ไชยภาษี ผู้แทน มุมมองวัยก่อนเกษียณ กล่าวว่า “สังคมสูงวัยในประเทศไทย เป็นสังคมที่พิเศษ มีระบบครอบครัวที่มีรูปแบบของความเกื้อกูล ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศที่ยังมีอยู่ และไม่ตายไปจากสังคมเรา ดังนั้น เรื่องของสูงวัยควรจะอยู่ในระบบของครอบครัว ค่อยดูแลกันในครอบครัว ถึงแม้ว่าจะมี GEN ใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ เข้ามา แต่เชื่อว่า แนวคิดแบบศาสนาพุทธ วัฒนธรรมแบบไทย GEN แบบไทย และ Gene แบบไทย ที่มีรูปแบบเอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ ช่วยเหลือกันในกลุ่ม จะทำให้ผู้สูงวัยไทยสามารถดำรงอยู่ได้ในสังคม ยกตัวอย่าง บางคนออมบางคนไม่ออม เรายังแบ่งกันกิน กันให้ และยังข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วยซ้ำ ตรงนี้เป็นจุดดีและอยากให้ประเทศเรายังคงมีอยู่ เพราะมันคือ Gene ของคนไทยที่ทุกชาติยอมรับ”
.
คุณอรุณี ศรีโต ผู้แทน มุมมองวัยเกษียณ กล่าวไว้ 3 ประเด็น ดังนี้ “1) ขอให้กำลังใจผู้สูงอายุทุกท่าน และจะบอกว่าท่านเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าของประเทศไทย ท่านได้สร้างคุณงามความดี ได้สร้างรายได้เข้ามาสู่ประเทศไทยมากมาย อยากให้ท่านอยู่อยากมีความสุข หากท่านมีประสบการณ์ งานอะไรดี ก็อยากจะให้ท่านแนะนำให้ลูกหลาน และหากชุมชนมีเวทีอะไร อยากให้ท่านเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนเลย 2) ขอฝากถึงลูกหลานทุกท่าน อยากให้ท่านมองผู้สูงอายุแบบมีคุณค่าและเจรจา สื่อสารกับผู้สูงอายุให้ดี ไม่อยากให้มองว่าผู้สูงอายุน่ารำคาญหรือเป็นภาระของลูกของหลาน และ 3) อยากให้ทางรัฐบาลมีนโยบายดูแลผู้สูงอายุหรือจัดการสวัสดิการผู้สูงอายุอย่างจริงจัง ควรให้ทุกหน่วยงานของประเทศเข้ามามีส่วนร่วม หากต้องการจะดูแลผู้สูงอายุ ก็ควรจะช่วยกันทั้งประเทศ เพราะผู้สูงอายุเป็นสมบัติที่มีคุณค่าของสังคมไทย และเราก็จะไม่ทิ้งกัน”
.
ผศ.ดร.ธีร์ โคตรถา ผู้ดำเนินการเสวนา กล่าวว่า “สังคมผู้สูงวัยเป็นสังคมใกล้ตัว ดังนั้น เราจึงควรตระหนัก และให้ความสำคัญในเรื่องการอยู่ร่วมกัน ซึ่งต้องอาศัยทั้งความรัก ความเกื้อกูล และความเอื้ออาทรต่อกัน จึงจะทำให้สังคมเราเป็นสังคมที่น่าอยู่ตลอดไป”