การสื่อสารในครอบครัวที่พึงประสงค์ต่อการดำรงชีวิตอิสระของคนพิการในประเทศไทย

การสื่อสารในครอบครัวที่พึงประสงค์ต่อการดำรงชีวิตอิสระของคนพิการในประเทศไทย

The Family Communication Patterns which are Desirable for the Independent Livings of People with Disabilities in Thailand

บทคัดย่อ

งำนวิจัยเรื่อง “การสื่อสารในครอบครัวที่พึงประสงค์ต่อการดำรงชีวิตอิสระของคนพิการในประเทศไทย” มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสารวจชุดตัวแปรการสื่อสารในครอบครัวของคนพิการ 2) เพื่อสารวจชุดตัวแปรทักษะการดำรงชีวิตอิสระของคนพิการ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชุดตัวแปรการสื่อสารในครอบครัวของคนพิการ กับชุดตัวแปรทักษะการดำรงชีวิตอิสระของคนพิการในประเทศไทย
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือคนพิการที่มีงานทำภายใต้กฎหมายแรงงานไทย อายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปี จำนวน 1,250 คน โดยแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาค คือ กรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน เครื่องมือที่ใช้ที่แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนำ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการแปลผลด้วยการคำนวณอันตรภาคชั้น และการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชุดตัวแปรด้วยสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหูคูณ (Multiple Regression Analysis) เพื่อสร้างสมการในการพยากรณ์ทักษะการดำรงชีวิตอิสระของคนพิการในแต่ละด้าน

ผลการวิจัยพบว่า การสื่อสารในครอบครัวมีความสัมพันธ์กับทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการทุกด้าน ได้แก่ ทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการด้านการสื่อสาร (Y1) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบสนับสนุนการสนทนา (X1) และทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (X4) ทั้งนี้มีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการสื่อสารเชิงลบในครอบครัว (X8) และทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการสื่อสารความรู้สึกนึกคิดของตนเอง (X5) ทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการด้านการตระหนักรู้ในตนเอง (Y2) มีความสัมพันธ์ทางบวก กับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบสนับสนุนการสนทนา (X1) ทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (X4) และพฤติกรรมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว (X7) ทั้งนี้มีความสัมพันธ์ทางลบกับทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการสื่อสารความรู้สึกนึกคิดของตนเอง (X5) และกับพฤติกรรมการสื่อสารเชิงลบในครอบครัว (X8)
ทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการด้านการพิทักษ์และปกป้องสิทธิของตนเอง (Y3) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบคล้อยตามกัน (X2) และพฤติกรรมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว (X7) ทั้งนี้มีความสัมพันธ์ทางลบกับทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการสื่อสารความรู้สึกและร่วมกันแก้ปัญหา (X6) ส่วนทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการด้านการดำรงชีวิตประจำวัน (Y4) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบคล้อยตามกัน (X2) พฤติกรรมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว (X7) และทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการสื่อสารความรู้สึกและร่วมกันแก้ปัญหา (X6) โดยไม่มีความสัมพันธ์ทางลบกับตัวแปรอิสระใดเลย
ทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการด้านความปลอดภัยและการเดินทาง (Y5) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบคล้อยตามกัน (X2) พฤติกรรมการสื่อสารเชิงลบในครอบครัว (X8) และพฤติกรรมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว (X7) ทั้งนี้มีความสัมพันธ์ทางลบกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบสนับสนุนการสนทนา (X1) สำหรับ ทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการด้านการบริหารการเงิน (Y6) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบคล้อยตำมกัน (X2) ทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (X4) และพฤติกรรมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว (X7) ทั้งนี้มีความสัมพันธ์ทางลบกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบสนับสนุนการสนทนา (X1)
ทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการด้านการเรียนรู้ (Y7) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบคล้อยตำมกัน (X2) ทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (X4) และพฤติกรรมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว (X7) ทั้งนี้มีความสัมพันธ์ทางลบกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบสนับสนุนการสนทนา (X1) และทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการสื่อสารความรู้สึกและร่วมกันแก้ปัญหา (X6) ส่วนทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการด้านการประกอบอำชีพ (Y8) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบคล้อยตำมกัน (X2) ทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (X4) ทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการสื่อสารความรู้สึกนึกคิดของตนเอง (X5) และพฤติกรรมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว (X7) ทั้งนี้มีความสัมพันธ์ทางลบกับการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบสนับสนุนการสนทนา (X1) และทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการสื่อสารความรู้สึกและร่วมกันแก้ปัญหา (X6)
งำนวิจัยสามารถอภิปรำยผลในภาพรวมได้ดังนี้ ตัวแปรอิสระ “พฤติกรรมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว” มีความสัมพันธ์ทางบวกกับทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการมากที่สุดถึง 7 ด้าน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ำในสถำนการณ์ที่ไม่สบำยกำยหรือใจ โดยเฉพำะในช่วงเวลำที่ต้องพัฒนำทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการ สำหรับตัวแปรอิสระที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการมากเป็นลำดับที่สอง ได้แก่ “การสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัวแบบคล้อยตำมกัน” ซึ่งเป็น

การสื่อสารที่มีรูปแบบค่อนข้ำงเข้มงวด แต่กลับมีความสัมพันธ์ทางบวกกับทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการถึง 6 ด้าน แสดงว่ำพ่อแม่ต้องส่งเสริมแกมบังคับเพื่อให้ลูกสามารถเกิดทักษะการดำรงชีวิตอิสระให้จงได้ สุดท้ำย “ทักษะการสื่อสารในครอบครัวด้านการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ” เป็นตัวแปรอิสระที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการมากเป็นลำดับที่สำม ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางบวกกับทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการถึง 5 ด้าน คือ (1) ด้านการสื่อสาร เพรำะทักษะด้านการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารเพื่อการบำบัด ผู้ฟังเปรียบเสมือน “ผู้ให้การบำบัด” โดยการตั้งใจฟัง มีการตอบสนองให้กำลังใจตำมสมควร จะทำให้ผู้พูดรู้สึกดีขึ้น การสนทนาแบบนี้ นับเป็นการส่งเสริมให้คนพิการมีทักษะการดำรงชีวิตอิสระด้านการสื่อสารได้ นอกจำกนี้ คนพิการที่ส่วนใหญ่มักจะมีทักษะการเรียนรู้ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองธรรมชำติ ทักษะการฟังจึงจำเป็นต่อการส่งเสริมทักษะการดำรงชีวิตอิสระในด้านที่เป็นทักษะขั้นสูง ได้แก่ (2) ด้านการบริหารการเงิน (3) ด้านการเรียนรู้ และ (4) ด้านการประกอบอำชีพ ทั้งนี้การฟังคนอื่นนับเป็นการศึกษำตนเอง โดยอำศัยการสังเกตปฏิกิริยำของผู้อื่นที่มีต่อตน จึงช่วยส่งเสริมการดำรงชีวิตอิสระ (5) ด้านการตระหนักรู้ในตนเองได้อีกด้วย
เนื่องจำก “การสื่อสารในครอบครัว” มีความสัมพันธ์กับ “ทักษะการดำรงชีวิตอิสระคนพิการ” ดังนั้นในการทางำนด้านคนพิการในประเทศไทย จึงควรมีการส่งเสริมให้ครอบครัวที่มีสมำชิกพิการมีการสื่อสารในครอบครัวในลักษณะที่พึงประสงค์ โดยควรส่งเสริมทั้งทางฝ่ายคนพิการ ทางฝ่ายพ่อแม่หรือผู้ปกครอง รวมถึงอบรมคู่กันทั้งสองฝ่ายอีกด้วย ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การจัดทำคู่มือการสื่อสารสำหรับครอบครัว การทำหลักสูตรสำหรับการฝึกอบรม การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม การวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนำ และการวิจัยเชิงนวัตกรรม เป็นต้น

Abstract

The research title is “The Family Communication Patterns which are Desirable for the Independent Livings of People with Disabilities (PWD) in Thailand”. The objective of this study is to explore: (1) the family communication patterns in the family of people with disabilities; (2) the independent livings (IL) skills; and (3) the relationships between the family communication patterns and the IL skills. The results will be the guidelines for using family communication in supporting IL skills for PWD in their family.

The questionnaire method is applied to collect 1,250 data from Bangkok and northern, southern, north-eastern and middle Thai PWD. This study used descriptive statistics; frequency, percentile, mean, SD, class interval and analyzed the relationships between the variables with multiple regression analysis.

The results were found that the family communication pattern have the correlation to IL skills. Firstly, IL in communication skill (Y1) has positive correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conversation orientation (X1) and active listening skill (X4). Moreover, it has negative correlation with negative family communication behavior (X8) and I-message communication skill (X5). Secondly, IL in self-awareness (Y2) has positive correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conversation orientation (X1), active listening skill (X4) and positive family communication behavior (X7). Moreover, it has negative correlation with negative family communication behavior (X8) and I-message communication skill (X5).

IL in self advocacy (Y3) has positive correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conformity orientation (X2) and positive family communication behavior (X7). Moreover, it has negative correlation with no-lose method communication skill (X6). The next one is IL in daily living skill (Y4) has positive correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conformity orientation (X2), positive family communication behavior (X7) and no-lose method communication skill (X6). There was no variable has negative correlation with this IL.

The fifth is IL in safety and transportation skill (Y5) has positive correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conformity orientation (X2), negative family communication behavior (X8) and positive family communication behavior (X7). Moreover, it has negative correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conversation orientation (X1). Another IL is money management skill (Y6), it has positive correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conformity orientation (X2), active listening skill (X4) and positive family communication behavior (X7). Moreover, it has negative correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conversation orientation (X1).

IL in learning skill (Y7) is the seventh, it has positive correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conformity orientation (X2), active listening skill (X4) and positive family communication behavior (X7). Moreover, it has negative correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conversation orientation (X1) and no-lose method communication skill (X6). The last IL is work skill (Y8), it has positive correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conformity orientation (X2), active listening skill (X4), I-message communication skill (X5) and positive family communication (X7). Moreover, it has negative correlation with interpersonal communication in family in the pattern of conversation orientation (X1) and no-lose method communication skill (X6).

According to the family communication have correlation to IL skills, thus in working area or research area of PWD in Thailand should be supported in the part of increasing these skills for parents, sons or daughters and both together. For example; the family communication manual or training program for Thai, the participatory action research, the research and development and the innovative research.

แชร์

Facebook
Twitter
Email
พิมพ์
ให้คะแนน